อย่างที่พวกเรารู้กันนี้ว่าในปัจจุบันนี้ที่บล็อกเชนเริ่มได้รับความสนใจจากหลากหลายแวดวงที่เพิ่มมากขึ้น แต่การที่จะทำให้บล็อกเชนนั้นได้รับการยอมรับที่เพิ่มมากขึ้นจนไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบบการเงินและใช้งานในระดับสาธารณะนั้นจำเป็นจะต้องมีวิสัยทัศน์และความทะเยอทะยานที่มากพอสมควร
แล้วอะไรล่ะที่ควรจะเป็นวิสัยทัศน์ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จนั้น?
การที่บล็อกเชนจะไปอยู่ในจุดนั้นได้จำเป็นต้องมีคุณสมบัติอยู่ 3 ประการคือ การกระจายอำนาจแบบไร้ศูนย์กลาง (Decentralized) ความรวดเร็วหรือความสามารถในการขยายเครือข่าย (Scalable) และความปลอดภัย (Secure)
- การกระจายอำนาจแบบไร้ศูนย์กลาง (Decentralized) – ความสามารถในการที่เครือข่ายบล็อกเชนนั้นไม่ถูกควบคุมโดยโหนดหรือจุด ๆ เดียวในการดำเนินการต่าง ๆ แต่จะขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานทั้งหมดในเครือข่ายช่วยกันตรวจสอบและยืนยันข้อมูล ซึ่งมีความสำคัญมาก
- ความรวดเร็วหรือความสามารถในการขยายเครือข่าย (Scalable) – การที่บล็อกเชนสามารถรับมือกับปริมาณการทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีโดยไม่เสียความเร็วของเครือข่ายไปเมื่อมีอัตราการใช้งานที่สูง
- ความปลอดภัย (Secure) – การที่บล็อกเชนสามารถทำงานได้อย่างปกติตามที่มันควรจะเป็น และสามารถที่จะป้องกันสิ่งที่ไม่คาดคิดต่าง ๆ ที่อาจจะเป็นอันตรายต่อเครือข่ายได้ เช่น การเกิดจุดบกพร่อง (Bug) ของเครือข่าย หรือ การโจมตี 51% (51% attack)
Blockchain Trilemma ที่เกิดกับเครือข่ายบล็อกเชนในปัจจุบันนั้น ส่วนมากเป็นเรื่องของ ความรวดเร็วหรือความสามารถในการขยายเครือข่ายเป็นส่วนมาก และเป็นที่น่าเสียดายที่ ณ ปัจจุบันนี้ยังไม่เครือข่ายบล็อกเชนไหนที่สามารถรวมคุณสมบัติทั้งสามประการไว้ในเครือข่ายของตนเองได้ โดยเต็มที่สุดได้เพียงแค่สองคุณสมบัติ ตัวอย่างเช่น
Bitcoin (BTC) – ใช้กลไกฉันทามติ (Consensus Algorithm) แบบ Proof-of-Work ที่จำเป็นจะต้องแข่งกันขุดหรือแก้สมการในเครือข่าย เพื่อแลกกับสิทธิ์การยืนยันธุรกรรมในบล็อกนั้นๆ การที่มี โหนด (Nodes) จำนวนมากที่กระจายอยู่ทั่วโลกทำให้ Bitcoin มีคุณสมบัติด้านการกระจายอำนาจแบบไร้ศูนย์กลางได้อย่างดีเยี่ยม และด้วยกลไกฉันทามติของ Bitcoin ที่เมื่อมีการขุดที่มากขึ้นเครือข่ายก็จะทำการสร้างสมการที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้นเพื่อรักษาสมดุล ความปลอดภัย และการโจมตีในด้านต่างๆ แต่ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อมีการใช้งานที่สูงขึ้นสวนทางกับขนาดของบล็อกที่จำกัดจึงทำให้ Bitcoin มีการทำธุรกรรมที่ช้า โดยเฉลี่ยที่ประมาณ 7 ธุรกรรม/วินาที
Cardano (ADA) – ใช้กลไกฉันทามติ (Consensus Algorithm) แบบ Proof-of-Stake โดยสิทธิ์ในการตรวจสอบธุรกรรมจะสุ่มจากผู้ที่วางเงินค้ำประกันไว้ก่อนจำนวนหนึ่ง เพื่อมาตรวจสอบในแต่ละบล็อก ทำให้เวลาและพลังงานที่ใช้ไปนั้นน้อยมาก โดยเฉลี่ยที่ประมาณ 270 ธุรกรรม/วินาที (เร็วกว่าเกือบ 39 เท่า เมื่อเทียบกับ Bitcoin) แต่ถึงกระนั้น เครือข่ายบล็อกเชนของ Cardano ยังมีความใหม่อยู่มาก และมีการทำธุรกรรมบนเครือข่ายที่น้อยเมื่อเทียบกับ Bitcoin ทำให้เครือข่ายยังถูกมองว่ายังไม่มีความน่าเชื่อถือเท่าที่ควร

ทั้งนี้ทั้งนั้น การที่ผู้พัฒนาบล็อกเชนของแต่ละเครือข่ายออกมาอัปเดตถึงแผนการอัพเกรดเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น Ethereum 2.0 ของ Ethereum, Vasil Hard Fork ของ Cardano ที่ผ่านมาไม่นานนี้ และรวมไปถึงการอัปเดตอื่น ๆ แสดงให้เห็นถึงความพยายามของทีมผู้พัฒนาต้องการที่จะก้าวข้ามจุด ๆ นี้เพื่อที่จะนำไปสู่การใช้ในระดับสาธารณะในอนาคต
อ้างอิง
The Blockchain Trilemma: Decentralized, Scalable, and Secure?