เมื่อเงินในโลกเก่าเริ่มเสื่อมสลาย สิ่งใหม่ก็จะมาแทนที่

จุดกำเนิดหลักของแนวความคิดเรื่อง Bitcoin นั้นมาจากวิกฤตการณ์ทางการเงินเมื่อปี พ.ศ.2550-2551 ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไปทั่วโลก ที่เรียกว่า วิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ (Subprime Mortgages) เป็นสินเชื่อที่ปล่อยให้กับลูกหนี้ที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ 

วิกฤติครั้งนี้มีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย เริ่มต้นจากตลาดอสังหาริมทรัพย์และสินเชื่อ จากการที่เจ้าของไม่สามารถชำระเงินคืนที่กู้ยืมมาเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้ การตัดสินใจที่ผิดพลาดของผู้กู้ยืมหรือผู้ปล่อยกู้โดยไม่คำนึงถึงความเสี่ยง การเก็งกำไรและการสร้างอสังหาริมทรัพย์มากเกินไปในช่วงที่ตลาดเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ราคากลับสวนทางกับที่คาดการณ์เอาไว้ 

เกิดภาวะฟองสบู่แตก (การที่ราคาอสังหาริมทรัพย์หรือหน่วยลงทุนต่าง ๆ เพิ่มขึ้นสูงเกินกว่าราคาตามความเป็นจริง จนถึงจุดๆหนึ่งทำให้ราคากลับมาอยู่ในจุดที่ควรจะเป็น) ทำให้เกิดอัตราหนี้สินส่วนบุคคลและบริษัทที่สูง มีการผิดนัดชำระหนี้จากนโยบายและการควบคุมของธนาคารกลาง (เป็นจำนวนเงินกว่า 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) เมื่อมีการผิดชำระหนี้และการยึดทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้น อัตราดอกเบี้ยลอยตัวเริ่มสูงขึ้น การยึดทรัพย์สินในสหรัฐเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนทำให้ปัญหาทางการเงินนั้นแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วทั่วโลกในปี พ.ศ. 2550 – พ.ศ. 2551 ภายหลังจึงมีการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบผ่านการพิมพ์ธนบัตร เพื่อให้ผู้กู้ยืมสามารถมาจ่ายหนี้ได้ 

คนจึงตั้งข้อสงสัยและเกิดความไม่ไว้วางใจในระบบธนาคารขึ้น บุคคลนิรนามที่เราไม่ทราบชื่อที่แท้จริง รู้แต่ชื่อที่แฝงมากับซอฟต์แวร์ที่เป็นโค้ดแบบโอเพนซอร์ซ นามว่า “Satoshi Nakamoto” จึงได้ให้กำเนิด Bitcoin ซึ่งเป็นนวัตกรรมทางการเงินแบบไร้ตัวกลางขึ้นมา